ดร.มิว-พรทิพา กรุดลอยมา เจ้าของฉายาเศรษฐีอะพาร์ตเมนต์ ชื่อคุ้นหูที่คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์และกรรมการผู้จัดการบริษัท โรจนพัฒน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ธุรกิจเกี่ยวกับระบบกรองน้ำที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และยังเป็นฮีโร่ของเด็กๆ ในฐานะผู้อุปการะ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยมากว่า 15 ปี
ถอยกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ‘มิว’ ในวัย 13 ปี มีความฝันที่อยากจะซื้อบ้านให้แม่ เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายในย่านชุมชนแออัด ซึ่งตอนนั้นเธอรู้ว่ามีเพียง 2 ทางที่จะช่วยพลิกชีวิตเธอได้ อันดับแรกเธอต้องเรียนให้ดีเพื่อขอทุนการศึกษา ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียน ด้วยความที่เธอเป็นเด็กขยันอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนเธอจึงได้รับทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน และสองต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะหาเงิน อาชีพเสริมไม่ว่าจะเป็นล้างหม้อโจ๊ก ขายหนังสือ เสิร์ฟอาหาร เธอเก็บหอมรอมริบทีละเล็กทีละน้อยแต่ฝันที่จะซื้อบ้านยังห่างไกลเกินเอื้อม แต่ด้วยเวลาไม่คอยท่าเพราะแม่เริ่มแก่ตัวลง เธอจึงต้องรีบประสบความสำเร็จให้ไว ช่วงที่ตัดสินใจจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอจึงเลือกที่จะเรียนต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อหวังนำเงินเดือนมาสานฝันเธอให้เป็นจริงเร็วๆ “ม.ปลาย พี่มีความฝันที่อยากเป็นหมอ แต่รู้ว่าที่บ้านฐานะยากจน ถ้าเรียนหมอต้องใช้เวลาเรียนนาน ก็ค่อนข้างกังวล เพราะตอนนั้นแม่อายุเยอะแล้วห่างกับพี่ถึง 40 ปี เลยเบนเข็มมาที่วิศวะและมุ่งมั่นที่จะเข้าเรียนให้ได้”
ในช่วงมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่เปลี่ยนชีวิต เธอมีอาชีพเสริมที่หลากหลายและได้ค่าตอบแทนมากขึ้น เริ่มมีเงินเก็บหลักล้านจนสามารถทำตามความฝันได้สำเร็จ “พอเข้ามหาลัย เราทำเงินได้หลักล้านแล้ว เพราะมีหลายอาชีพ เช่น ขายของสวนจตุจักรก็เป็นหลักหมื่นถึงแสน มีสอนพิเศษที่บริติช อเมริกัน (British American) ในวิชาคำนวณและงานพริตตี้ซึ่งในสมัยก่อนก็จะแต่งตัวแตกต่างจากปัจจุบันเป็นชุดมาจากญี่ปุ่นใส่สูทกระโปรงชุดน่ารักๆ ทั้งหมดที่ทำพอได้เงินเก็บออมมาจึงยื่นซื้อบ้านตอนอยู่ ปี 2”
แต่ทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค เพราะในปีที่จบการศึกษา พ.ศ. 2540 เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้บ้านที่ผ่อนดาวน์มาทั้งหมดกลายเป็นศูนย์ โชคดีที่ยังพอมีเงินเก็บอยู่เธอจึงเริ่มทำงานประจำได้ 2 ปี และลาออกมาเป็นเซลล์ขายเครื่องกรองน้ำ ด้วยความรู้ด้านวิศวกรรมทำให้การขายเครื่องกรองน้ำของเธอแตกต่าง สร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งบริษัทขายระบบกรองน้ำในระบบอุตสาหกรรม
ด้วยความที่เป็นนักลงทุน นักเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ดร.มิว เห็นโอกาสในการต่อยอดทุนที่มีอยู่จึงเริ่มลงทุนทำอะพาร์ตเมนต์โดยเน้นในกลุ่มของนักศึกษาเป็นหลัก “เงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ เราจะรู้คุณค่า พอเรารู้ค่า เราจะไม่อยากให้เงินหายไปไหนมันก็จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะลงทุนที่ทำให้เงินงอกเงยขึ้นมาและรักษาเงินเดิมไว้ได้” ดร.มิว กล่าวเสริม
พอเริ่มตั้งตัวได้ ดร.มิว เลือกที่จะตอบแทนคืนให้กับสังคม ช่วยเหลือเด็กๆ และครอบครัวที่เปราะบางยากไร้ โดยมีลูกเป็นแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดให้อยากช่วยเหลือเด็กคนอื่นๆ “การที่เราอุปการะเด็ก 1 คน มันจะต่อยอดไปถึงครอบครัวเขา ถึงคนต่างๆ มากมายมันจะไม่ใช่แค่เราให้กับคนนี้คนเดียว เพราะฉะนั้นการที่เราสนับสนุนน้องๆ สามารถทำให้เขาเติบโตขึ้นมาได้เขาก็จะเป็นอนาคตที่ดีของชาติ พอเขาจบมาเขามีงานทำ เขาก็จะกลับมาเลี้ยงครอบครัวของเขา ถ้าเขาสามารถประกอบกิจการเป็นเจ้าของธุรกิจ เขาก็สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพนักงาน ก็จะส่งต่อไปยังครอบครัวของพนักงานเหล่านั้นอีก”
‘โครงการอุปการะเด็ก’ โดยมูลนิธิศุภนิมิตฯ ไม่ได้มอบเป็นเงินสดให้กับเด็กโดยตรงแต่จะถูกนำไปจัดสรรรวมกับเงินบริจาคผู้อุปการะท่านอื่น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งทางตรงและทางอ้อมกับเด็กในความอุปการะ ครอบครัว และชุมชนยากไร้ในพื้นที่ที่เด็กอยู่อาศัย ก่อให้เกิดเป็นความยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเด็กจากครอบครัวยากไร้ให้อยู่ดีมีสุข ในปัจจุบัน ดร.มิว ได้อุปการะเด็กๆ จำนวน 6 คน ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น
ดร.มิว เป็นอีกบุคคลตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดว่า แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะมีชีวิตที่แตกต่างได้ เป็นตัวแทนฮีโร่แห่งความพากเพียรและพยายามจนสามารถดูแลตนเองและครอบครัว พร้อมส่งต่อพลังงานดีๆ มาถึงเด็ก และครอบครัวเปราะบางยากไร้ให้ได้มีโอกาสและชีวิตที่ดียิ่งขึ้น “คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ ไม่ว่าจะเกิดมายังไง เราไม่ต้องไปคิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่เป็นเราในวันนี้ กว่าเราจะเติบโตมีเวลาหลาย 10 ปี เพราะฉะนั้นเราอยากเป็นอะไรเราเป็นได้ทั้งหมด ขอให้เราตั้งเป้าหมาย เชื่อมั่นในตนเองเราก็จะสามารถเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นได้” เธอกล่าวส่งท้าย