เสียงคลื่นกระทบฝั่งที่เงียบสงบของเกาะพีพีในช่วงเช้าของวันที่ 26 ธันวาคม ดูเหมือนจะบอกถึงวันธรรมดาวันหนึ่งในปี 2004 แต่ใครจะรู้ว่าอีกไม่นาน โลกของชลลดาและผู้คนบนเกาะจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
“ลูกสาวกับน้องสาวของพี่กำลังจะลงไปที่ชายหาด อยากไปว่ายน้ำเล่น แต่เห็นว่าน้ำแห้งไปหมด เรือค้างอยู่บนหาดทรายเต็มเลย” ชลลดา ย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ที่ยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ เธอจำได้ว่ารู้สึกแปลกใจที่น้ำทะเลลดลงผิดปกติจนเห็นพื้นทรายที่เคยจมหาย
ความสงสัยทำให้เธอรีบวิ่งลงไปดูใกล้ๆ น้ำทะเลแห้งจนหาดโล่งกว้าง เรือมากมายค้างอยู่บนทราย เธอคิดว่าน้ำอาจจะกลับขึ้นมาเป็นปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่เช่นนั้น “คลื่นเริ่มกลับมา มันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เรือเริ่มโคลงเคลงกระทบกันไปมา ก่อนที่คลื่นยักษ์จะซัดเข้ามาอย่างรุนแรง”
เสียงฟ้าร้องดังสนั่น คลื่นสีดำทะมึนม้วนตัวสูงขึ้นเหมือนภาพในฝันร้าย เสียงผู้คนกรีดร้องดังขึ้นรอบตัว ทั้งเสียงเตือนให้วิ่งหนีและเสียงร้องไห้ของความตื่นตระหนก “พี่รีบวิ่งหาลูกสาว คลื่นใหญ่มาก ไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนบนเกาะพีพี”
เมื่อคลื่นยักษ์ถาโถมผ่านไป ภาพที่ปรากฏต่อหน้าชลลดาคือความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ร่างผู้เสียชีวิตที่เกลื่อนกลาด บ้านเรือนพังทลาย และชุมชนที่เคยคึกคักกลายเป็นพื้นที่แห่งความเศร้าโศก
แต่ในความมืดมนของวันนั้น ก็ยังมีแสงแห่งความหวัง เมื่อมูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้เข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัย ด้วยการเข้าช่วยซ่อมสร้างบ้านและฟื้นฟูชุมชน “พวกเราสูญเสียทุกอย่าง แต่ยังโชคดีที่ มูลนิธิศุภนิมิตฯ เข้ามาช่วยสร้างบ้านให้ พี่กับครอบครัวยังมีที่พักพิง ซึ่งช่วยให้เราค่อย ๆ ฟื้นตัวจากเหตุการณ์ครั้งนั้น”
จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิในปี 2004 World Vision สามารถสนับสนุนการซ่อมสร้างบ้านกว่า 12,000 หลังใน 5 ประเทศ รวมถึงบ้าน 160 หลังบนเกาะพีพี ความช่วยเหลือของพวกเขาไม่ได้เพียงช่วยสร้างบ้าน แต่ยังช่วยสร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผู้รอดชีวิตหลายพันคน
20 ปีผ่านไป ภาพแห่งความสูญเสียยังคงเป็นความทรงจำที่ชลลดาไม่เคยลืม แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บบทเรียนจากวันนั้นไว้เป็นพลังในการก้าวเดินต่อไป และหวังว่าผู้คนจะไม่ลืมถึงความสำคัญของความช่วยเหลือและความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อกันในยามยากลำบาก